สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 25 เมษายน-1 พฤษภาคม 2565

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
1.1) ด้านการผลิต
(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุม
ค่าเช่าที่นา
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณ
น้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน
(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต
(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)
(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว
(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)
1.2) ด้านการตลาด
(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร
(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย
3 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ
โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,883 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,736 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.25
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,564 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,517 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.56
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 27,350 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 25,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.39
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,450 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,910 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.18
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 845 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,730 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 827 ดอลลาร์สหรัฐฯ (27,723 บาท/ตัน)  ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.18 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,007 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,790 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,314 บาท/ตัน)  ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.83 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 476 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 447 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,198 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 433 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,515 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.23 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 683 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.9995 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
สัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวปรับลดลง เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดมีมากขึ้นจากที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ ส่งผลให้ราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 415 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากตันละ 420-425 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวงการค้าระบุว่า ขณะนี้มีการเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ (the winter-spring crop) ของปี 2564/65 ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงแล้วประมาณร้อยละ 90 และคาดว่าการเก็บเกี่ยวข้าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้
สมาคมอาหารเวียดนาม (the Vietnam Food Association) คาดว่า การส่งออกจะฟื้นตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีความต้องการข้าวที่มากขึ้นจากตลาดต่างๆ เช่น จีน บังกลาเทศ อิหร่าน และศรีลังกา ขณะที่ข้อมูล
การส่งมอบข้าวในเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเดือนเมษายน 2565 มีข้าวประมาณ 291,690 ตัน ที่จะถูกขนถ่าย
ขึ้นเรือบรรทุกสินค้าที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City โดยส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าไปยังประเทศฟิลิปปินส์และคิวบา
The Oceanic Agency and Shipping Service รายงานว่า ระหว่างวันที่ 2-30 เมษายน 2565 จะมีเรือบรรทุกสินค้า (breakbulk ships) อย่างน้อย 23 ลำ เข้ามารอรับสินค้าข้าวที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City (HCMC) Port เพื่อรับมอบข้าวประมาณ 245,990 ตัน
กรมศุลกากรเวียดนาม (the Customs Department) รายงานว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2565 เวียดนามส่งออกข้าวจำนวน 531,389 ตัน มูลค่าประมาณ 263.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 494.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 1.4 และร้อยละ 9.6 ตามลำดับ โดยราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (เดือนมีนาคม 2564 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 539,040 ตัน มูลค่าประมาณ 290.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 539.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 และร้อยละ 17.7 ตามลำดับ โดยราคาส่งออกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 (เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 468,952 ตัน มูลค่าประมาณ 223.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 476.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-มีนาคม 2565) เวียดนามส่งออกข้าว จำนวน 1,502,931 ตัน มูลค่าประมาณ 730.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 486.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 และร้อยละ 12.7 แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนมกราคม-มีนาคม 2564 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 1,192,324 ตัน มูลค่าประมาณ 648.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 544.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ตลาดสำคัญในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-มีนาคม 2565) ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเวียดนามส่งออกจำนวน 672,136 ตัน มูลค่าประมาณ 311.076 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.31 และร้อยละ 41.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 44.72 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด และร้อยละ 42.57 ของมูลค่าการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ รองลงมา ประเทศไอวอรี่โคสต์ประมาณ 182,104 ตัน มูลค่าประมาณ 77.175 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 107.44 และร้อยละ 74.06 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 12.12 และร้อยละ 10.56 ของการส่งออกข้าวทั้งหมดตามลำดับ) ประเทศจีนประมาณ 178,201 ตัน มูลค่าประมาณ 90.821 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 30.53 และร้อยละ 33.3 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 11.86 และร้อยละ 12.43 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ) ประเทศกาน่าประมาณ 107,190 ตัน มูลค่าประมาณ 55.237 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.57 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 7.13 และร้อยละ 7.56 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ) ประเทศมาเลเซียประมาณ 87,109 ตัน มูลค่าประมาณ 40.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.94 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 5.21 เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 5.8 และร้อยละ 5.52 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ) สิงคโปร์ประมาณ 20,828 ตัน มูลค่าประมาณ 11.882 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่า ลดลงร้อยละ 15.8 และร้อยละ 17.53 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 1.39 และร้อยละ 1.63 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ) ฮ่องกงประมาณ 16,527 ตัน มูลค่าประมาณ 9.495 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าลดลง ร้อยละ 26.41 และร้อยละ 31.63 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 1.1 และร้อยละ 1.3 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ) สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ประมาณ 14,566 ตัน มูลค่าประมาณ 9.132 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.99 และร้อยละ 48.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 0.97 และร้อยละ 1.25 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ)
ซาอุดิอาระเบียประมาณ 8,514 ตัน มูลค่าประมาณ 5.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.95  และร้อยละ 32.12 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียประมาณ 8,498 ตัน มูลค่าประมาณ 5.418 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.87 และร้อยละ 14.34 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประมาณ 7,787 ตัน มูลค่าประมาณ 6.246 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่า
เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.38 และร้อยละ 63.29 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โมซัมบิกประมาณ 7,467 ตัน มูลค่า4.221 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.43 และร้อยละ 0.84 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ไต้หวันประมาณ 3,733 ตัน มูลค่าประมาณ 1.817 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าลดลง ร้อยละ 38.88 และร้อยละ 45.02  ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แทนซาเนียประมาณ 2,260 ตัน มูลค่าประมาณ 1.463 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.0 และร้อยละ 13.87 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนเธอร์แลนด์ประมาณ  2,223 ตัน มูลค่าประมาณ 1.539 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.05 และร้อยละ 30.37 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา แอฟริกาใต้ประมาณ 1,659 ตัน มูลค่าประมาณ 1.042 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.99 และร้อยละ 20.36 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสประมาณ 1,534 ตัน มูลค่าประมาณ 1.084 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.34 และร้อยละ 30.19 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เบลเยี่ยมประมาณ 980 ตัน มูลค่าประมาณ 0.516 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 110.75 และร้อยละ 83.19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กัมพูชา
ในปี 2564 และปี 2565 รัฐบาลเวียดนามประกาศโควตานําเข้าข้าว โดยออกหนังสือเวียนฉบับที่ 06/2022/TT-BCT ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามกำหนดโควตาการนําเข้าข้าวจากกัมพูชา ซึ่งได้รับสิทธิอัตราภาษีนําเข้าพิเศษจากเวียดนามเป็นเวลาสองปี โดยในปี 2564 และปี 2565 โควตาภาษีนําเข้าทั้งหมด (The total import tariff quotas) จากกัมพูชา สำหรับข้าวทุกชนิด คือ 300,000 ตันต่อปี (ข้าวเปลือก 2 กิโลกรัม เท่ากับ ข้าว 1 กิโลกรัม) ทั้งนี้
ตามหนังสือเวียนระบุว่า ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับอัตราภาษีนําเข้าพิเศษจะต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ S (Certificate of Origin form S) ที่ออกโดยกระทรวงการค้ากัมพูชา (the Cambodian Ministry of Trade) หรือหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต โดยหนังสือเวียนจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2565 ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2565
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย  
ฟิลิปปินส์
สำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry; BPI) กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ รายงานว่า ในเดือนมีนาคม 2565 ฟิลิปปินส์นําเข้าข้าวจำนวน 414,243.005 ตัน และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 (มกราคม-มีนาคม 2565) ฟิลิปปินส์นําเข้าข้าวประมาณ 985,139.995 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 69.53 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าจำนวน 581,082.93 ตัน และถือเป็นการนําเข้าข้าวในช่วงไตรมาสแรกที่มากที่สุดนับตั้งแต่มีการใช้นโยบายนําเข้าข้าวโดยเสรีในปี 2562 (rice trade liberalization (RTL) law in 2019)
ปลัดกระทรวงเกษตร ด้านนโยบาย การวางแผน และการวิจัย (Agriculture Undersecretary for Policy, Planning and Research) ระบุถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ 2 ประการ ของการนําเข้าที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ความคาดหวังของผู้นําเข้าในเรื่องอุปทานข้าวที่อาจจะเกิดภาวะตึงตัวไปทั่วโลก และผลผลิตข้าวในประเทศที่คาดว่าจะลดลง
สำนักอุตสาหกรรมพืช (BPI) รายงานข้อมูลการนําเข้าข้าวล่าสุด นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 เมษายน 2565 มีประมาณ 1.043 ล้านตัน โดยนําเข้าจากเวียดนามประมาณ 780,772.19 ตัน คิดเป็นร้อยละ 74.85 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมด และนําเข้าจากปากีสถาน จำนวน 70,957.5 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 180.6 เมื่อเทียบกับจำนวน 25,285 ตัน
ที่นําเข้าตลอดทั้งปี 2564
สำหรับเอกชนผู้นําเข้าข้าวรายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัท Bestow Industries Inc. นําเข้าปริมาณ 80,115 ตัน รองลงมา บริษัท Lucky Buy and Sell นําเข้าปริมาณ 42,497 ตัน
ขณะที่ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า สำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry : BPI) กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ เปิดเผยข้อมูลการนําเข้าข้าวของประเทศฟิลิปปินส์ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น 1 ใน 5 โดยมีปริมาณ 560,266.99 ตัน จาก 462,573.95 ตัน ในช่วงเดียวกันของปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.11 แบ่งเป็น การนําเข้าข้าวในเดือนมกราคม 2565 ปริมาณ 280,405.712 ตัน และในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปริมาณ 279,861.278 ตัน โดยในช่วงระยะเวลา 2 เดือน หน่วยงาน BPI ได้ออกใบอนุญาตนําเข้าด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS-ICs) ให้แก่ผู้นําเข้าและผู้ค้าข้าวแล้ว จำนวน 762 รายการ
ข้อมูล BPI ยังระบุว่า ในช่วง 3 วันแรกของเดือนมีนาคม 2565 มีการนําเข้าข้าวปริมาณ 46,576 ตัน ส่งผลให้ปริมาณการนําเข้ารวมตั้งแต่ต้นปี (วันที่ 1 มกราคม – 3 มีนาคม 2565) เพิ่มขึ้นเป็น 606,842.99 ตัน โดยมีผู้นําเข้า/ผู้ค้าข้าวรวมกว่า 90 ราย ที่สั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ เวียดนามยังคงเป็นซัพพลายเออร์นําเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นร้อยละ 74 ของปริมาณการนําเข้าทั้งหมด หรือประมาณ 448,627.3 ตัน รองลงมา ได้แก่ ไทย มีปริมาณนําเข้า 61,504.875 ตัน และปากีสถาน มีปริมาณนําเข้า  37,170 ตันตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัท Bestow Industries Inc. ตั้งอยู่ในเขตเมโทรมะนิลา เป็นผู้นําเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว มีปริมาณนําเข้า 71,195 ตัน ตามด้วยบริษัท Pioneer Agritrade Resources Inc. มีปริมาณนําเข้า 29,660 ตัน
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก BPI ยังได้ระบุถึงตัวเลขการนําเข้าข้าวทั้งหมดในปี 2564 พบว่า มีปริมาณรวม 2.771  ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 672,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากปี 2563 ที่มีปริมาณนําเข้ารวม 2.099 ล้านตัน โดยนําเข้าจากเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 85 ของปริมาณการนําเข้าทั้งหมด หรือมีปริมาณนําเข้า 2.36 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปี 2563 ที่มีปริมาณนําเข้า 1.828 ล้านตัน โดยจำนวนบริษัทผู้นําเข้า/ผู้ค้าข้าว ทั้งหมดในปี 2564 รวม 154 ราย ซึ่งมีการนําเข้าจากประเทศเวียดนาม ไทย เมียนมา กัมพูชา จีน อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ปากีสถาน สิงคโปร์ สเปน และไต้หวัน
อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าจำนวนผู้นําเข้า/ผู้ค้ารวม ในปี 2563 ที่มีจำนวน 193 ราย โดยบริษัท
Nan Stu Agri Traders ตั้งอยู่ในเมืองดาเวาเป็นผู้นําเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุด มีปริมาณการนําเข้า 169,774.95 ตัน รองลงมา ได้แก่ บริษัท Bestow Industries Inc. มีปริมาณนําเข้า 129,339.28 ตัน
ทั้งนี้ เมื่อปี 2564 ประธานาธิบดีดูเตอร์เต ได้ออกคำสั่งผู้บริหารเลขที่ 135 ( Executive Order 135)
ในการปรับลดภาษีนําเข้าข้าวทั่วไป (MFN rate) เหลือร้อยละ 35 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 และสำนักงานเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งชาติ (NEDA) ได้เสนอให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากร ดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปี 2565 โดยขณะนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการศึกษาและตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการ
ผ่านคณะกรรมาธิการด้านภาษี (Tariff Commission) เกี่ยวกับข้อดีของการขยายระยะเวลาบังคับใช้อัตราภาษีนําเข้าข้าวดังกล่าว
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.89 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.73 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.64 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.72 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.68 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.52
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.77 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.76 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 385.00 ดอลลาร์สหรัฐ (13,038.00 บาท/ตัน)  ลดลงจากตันละ 388.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,993.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.77 แต่สูงขึ้น
ในรูปของเงินบาทตันละ 45.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนพฤษภาคม 2565 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 804.00 เซนต์ (10,863.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 805.00 เซนต์ (10,761.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12 แต่สูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 102.00 บาท


 


มันสำปะหลัง
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2565 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 10.179 ล้านไร่ ผลผลิต 34.691 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.408 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 10.406 ล้านไร่ ผลผลิต 35.094 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.372 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยวและผลผลิต ลดลงร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.15 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.07 โดยเดือนพฤษภาคม 2565 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.294 ล้านตัน (ร้อยละ 3.73 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2565 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 ปริมาณ 20.48 ล้านตัน (ร้อยละ 59.04 ของผลผลิตทั้งหมด) 
การตลาด
เป็นช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดมาก เนื่องจากมีฝนตกในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพลดลง (เชื้อแป้งลดลง) สำหรับลานมันเส้นและโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.43 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.39 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.67
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.02 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.52 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.38 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.67
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.92 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 15.63 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.86
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 282 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,640 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากเฉลี่ยตันละ 278 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,390 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.44
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,140 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากเฉลี่ยตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,800 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.80

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2565 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนเมษายนจะมีประมาณ 1.960 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.353 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.709 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.308 ล้านตันของเดือนมีนาคม คิดเป็นร้อยละ 14.69 และร้อยละ 14.61 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 10.33 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 9.78 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.62
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 57.03 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 53.90 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.81
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
อินโดนีเซียออกมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมันปาล์มภายในประเทศ ส่งผลให้ราคาอาหารและราคาสินค้าในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนีราคาอาหารของ FAO ได้สูงขึ้นร้อยละ 33.60 จากเดือนมีนาคม 2564
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,394.57 ดอลลาร์มาเลเซีย (58.97 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 6,822.31 ดอลลาร์มาเลเซีย (54.69 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 8.39                        
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,770.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (60.92 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,717.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (58.31 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.09
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล

1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ

         
ไม่มีรายงาน

2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
         ตลาดคาดว่าภาคกลาง-ใต้บราซิลจะเก็บเกี่ยวอ้อยได้ 9.47 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายนนี้ ลดลง 40% จากปีที่แล้วและต่ำสุดในรอบ 8 ปี ตามการสำรวจความคิดเห็นของ S&P Global Commodity Insights ขณะที่คาดว่าจะผลิตน้ำตาลได้ 279,000 ตัน ลดลง 56% และเอทานอล 539 ล้านลิตร ลดลง 27% จากปีที่แล้ว ระหว่างที่ทาง National Corn Ethanol Union (Unem) คาดว่าจะมีเอทานอลที่ผลิตจากข้าวโพดเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 พันล้านลิตร เพิ่มขึ้น 34%
         ราคาน้ำตาลขายส่งในกรุงนิวเดลีนั้นลดลงเนื่องจากโรงงานพยายามที่จะปล่อยน้ำตาลของโควตาเดือนเมษายนให้ทันตามกำหนด แต่ความต้องการในตลาดก็ชะลอตัวเนื่องจากเชื่อว่า โควตาขายของเดือนพฤษภาคมจะเพิ่มขึ้น ขณะที่สมาคมผู้ปลูกอ้อยรัฐกรณาณะกะอยากให้นำระบบการจ่ายค่าอ้อยแบบดิจิตอลมาใช้แบบของรัฐอุตรประเทศเพราะอำนวยความสะดวกได้ดีให้แก่เกษตรกรปลูกอ้อย




 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 17.13 บาท ลงลดจากกิโลกรัมละ 17.41 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.61
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 20.38 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,709.92 เซนต์ (21.61 บาท/กก.)ลดลงจากบุชเชลละ 1,728.36 เซนต์ (21.56 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.07
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 445.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15.33 บาท/กก.)ลดลงจากตันละ 465.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15.82 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.32
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 87.12 เซนต์ (66.05 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 81.15 เซนต์ (60.72 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 7.36


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.74 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 20.64 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 19.86
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 39.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน 
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 883.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.05 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 895.20 ดอลลาร์สหรัฐ (30.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.27 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 705.60 ดอลลาร์สหรัฐ (23.99 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 714.60 ดอลลาร์สหรัฐ (23.96 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.26 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,180.00 ดอลลาร์สหรัฐ (40.12 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,195.40 ดอลลาร์สหรัฐ (40.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.29 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 676.00 ดอลลาร์สหรัฐ (22.98 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 684.40 ดอลลาร์สหรัฐ (22.94 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.23 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 966.60 ดอลลาร์สหรัฐ (32.86 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 979.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.82 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.27 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.15 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 43.86 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.18
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.82 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 31.00 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.58
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.50 คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

   1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
    ราคาที่เกษตรกรขายได้
    ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ ไม่มีการรายงานราคา
    ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
    ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2565 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 141.02 เซนต์(กิโลกรัมละ 106.96 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 140.57 เซนต์ (กิโลกรัมละ 105.22 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.32 (เพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.74 บาท)

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,814 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,697 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.89 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,495 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,397 บาทคิดเป็นร้อยละ 7.03 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,013 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,001 บาทคิดเป็นร้อยละ 1.25 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  92.41 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 90.65  คิดเป็นร้อยละ 1.94 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 86.34 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.49 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 96.13 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 93.09 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 3,400 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 3,200 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.25 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 96.50 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 94.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.12 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมีน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 43.09 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 40.46 บาทคิดเป็นร้อยละ 6.50 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 32.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 44.32 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 44.16 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดมีน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ                                                                                                                 
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 325 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 318 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.20 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 318 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 307 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 332 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.72 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 3.62 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.76 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 370 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 372 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.54 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 383 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 382 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 344 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 397 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.85 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 100.07 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 99.65 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.43 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 96.03 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 104.22 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 90.53 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 109.29 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 83.08 บาท ลดลงจาก กิโลกรัมละ 82.13 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.15 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 89.25 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 81.89 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน

 
 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 25 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2565) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.33 บาท ราคาลดลงเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 59.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.67 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.07 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 79.38 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.69 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 152.95 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 152.26 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.69 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.67 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 143.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 6.66 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.04 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 71.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.08 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 180.00 บาท
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.85 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา